สายพันธุ์ของหมู
พันธุ์ลาร์จไวท์ (Large White)
เกิดจาการผสมพันธุ์ระหว่างพันธุ์ไลเคศเตอร์กับสุกรพันธุ์ยอร์คเชียร์เป็นสุกรดั้งเดิมในเมืองยอร์คเชียร์ของอังกฤษมีการนาเข้าไปที่อเมริกาแคนนาดาในคตวรรษที่ 19 ลักษณะจะมีขนและหนังสีขาวตลอดลาตัวบางตัวอาจจะมีจุดสีดาปรากฏที่ผิวหนังบ้างจมูกยาวหูตั้งหัวโตลาตัวยาวแคบลึกไหล่โตแต่สะโพกไม่โตเห็นเด่นชัดนักสามารถเจริญเติบโตเร็วลูกดกเลี้ยงลูกเก่งตัวผู้โตเต็มที่มีน้าหนัก 250 ถึง 300 กิโลกรัมตัวเมียมีน้าหนัก 150 ถึง 220 กิโลกรัม
กำเนิดที่ประเทศเดนมาร์กต้นกาเนิดคือพันธุ์ลาร์จไวท์กับพันธุ์ดั้งเดิมของเดนมาร์กจึงตั้งชื่อว่าDamishLandraaceปรับปรุงโดยเน้นให้สุกรมีเนื้อ 3 ชั้นที่สวยลักษณะจมูกยาวหัวเรียวเล็กหูปรกใหญ่ลาตัวยาวจานวนซี่โครงประมาณ 14 ถึง 17 คู่หนาลึกไหล่กว้างหนาขาสั้นกระดูกเท้าอ่อนกว่าพันธุ์อื่นให้ลูกดกเลี้ยงลูกเก่งให้นมมากเติบโตเร็ว พันธุ์ดูร็อคเจอร์ซี่ (DorocJerse)
อยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกามีสีแดงบางที่ว่าสีแดงเกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างพันธุ์Tamwothเป็นลูกผสมของ Jersey Red ผสมกับพันธุ์Dorocลักษณะสีแดงล้วนแต่ปัจจุบันมีสีตั้งแต่น้าตาลฟางข้าวถึงน้าตาลแดงเข้มแข็งแรงบึกบึนเลี้ยงลูกเก่งหน้าหักเล็กน้อยโคนหูตั้งปลายหูปรกเล็กน้อยหูใหญ่ปานกลางให้เนื้อดีเหมาะใช้เป็นพ่อพันธุ์
พันธุ์เชสเตอร์ไวท์ (Cherter Whit)
เป็นหมูเมืองเชสเตอร์ผสมจากพันธุ์ Large White กับLincollnshireลักษณะสุกรขาวแต่อาจมีจุดดารูปหน้าเล็กสวยงามหน้าตรงยาวปานกลางหูปรกตาโตตะโพกอวบนูนลูกดกเลี้ยงลูกเก่งแต่มีข้อเสียที่ไม่เหมาะกับการเกษตรไทยคือไม่ทนต่อสภาพแดด
พันธุ์เบอร์กเชียร์ (Berckshire)
ต้นกาเนิดอยู่ที่เมืองเบอร์กเชียร์ตอนใต้ของอังกฤษเป็นลูกผสมระหว่างหมูอังกฤษจีนและไทยสีดามีสีขาวอยู่ 6 แห่งคือหน้าผากปลายหางเท้าทั้ง 4 จมูกสั้นหน้าหักหน้าผากกว้างหูเล็กตั้งตรงแต่อายุมากหูจะปรกไปด้านหน้าเล็กน้อยคางใหญ่ย้อยมาถึงลาคอเป็นสุกรขนาดกลางตะโพกใหญ่บึกบึนสามารถใช้เป็นสุกรสายพ่อพันธุ์ให้เนื้อมาก
พันธุ์โปแลนด์ไชน่า (Poland China)
ถิ่นกาเนิดอยู่ที่อเมริกาเป็นพันธุ์ที่ผสมมาจากสุกรรัฐเซียจีนอังกฤษชาวโปแลนด์เลี้ยงจึงขึ้นต้นด้วยโปแลนด์แต่สายพันธุ์มาจากไชน่า(จีน) ลักษณะสีดามีจุดขาว 6 แห่ง 4
แห่งที่เท้าและอีก 2 แห่งที่จมูกและหน้าผากหน้าผากยาวปานกลางลาตัวยาวลึกหลังกว้างให้เนื้อดีหน้าหักเล็กน้อยหูปรก
พันธุ์สปอร์เต็ดโปแลนด์ไช่น่า (Spotted Poland China)
เกิดจากการผสมระหว่างหมูจีนกับพันธุ์โปแลนด์ไชน่าจะมีสีดาและขาวสีขาวที่เพิ่มขึ้นโดยไม่ได้รวมสีขาวที่เท้า
พันธุ์แฮมเชียร์ (Hamshire)
อยู่ตอนใต้ของอังกฤษมีแถบขาวพาดที่ไหล่ผสมระหว่างพันธุ์ที่มีสีขาวพาดที่อกกับพันธุ์ของอังกฤษลักษณะหน้ายาวหูตั้งสีดาให้ลูกดกแข็งแรงเป็นหมูให้เนื้อมีความคงทนต่อดินฟ้าอากาศและเชื้อโรคแต่มักเป็นโรคโพรงจมูกอักเสบง่าย
พันธุ์พิทเทรน (Pietrain)
มาจากเบลเยี่ยมลาตัวขาวตะโพกสวยและจะมีกล้ามเนื้อที่ไหล่และตะโพกที่มีการพัฒนามีลักษณะซากที่ดีกว่าพันธุ์อื่นแต่การเติบโตช้าอัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อไม่ดี
พันธุ์เหมยซาน (Meishan)
สุกรพันธุ์นี้มีถิ่นกาเนิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีนถูกนาเข้ามาเลี้ยงในประเทศไทยเมื่อครั้งที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารีเสด็จประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนทางจีนได้ถวายสุกรพันธุ์นี้มาและได้มอบให้กรมปศุสัตว์นามาขยายพันธุ์มีลักษณะหลังแอ่นท้องยานผิวออกสีดาไปทางเทาผิวหนังเหี่ยวย่นให้ลูกดกเลี้ยงลูกเก่งเลี้ยงง่ายข้อเสียโตช้าอัตราแลกน้าหนักสูงเนื้อแดงน้อยมันมากซากไม่ดีเหมาะที่นามาขุนเลี้ยงแบบการค้า
วิธีการเลี้ยงหมู
1 การให้อาหารแก่สุกรพันธุ์
นิยมให้วันละ 2 เวลา
คือเช้าและเย็น โดยให้สุกรกินจนอิ่ม โดยเฉลี่ยลูกสุกรหย่านมจะกินอาหารตัวละ 0.5 ก.ก./วัน
ต้องจัดน้ำสะอาดให้กินเพียงพอ และอาจให้กินผักสดบ้าง
2 หมูรุ่น
จะกินอาหารตัวละ 1-1.5
ก.ก./วัน และหมูสาวจะกินตัวละ 1.5- 2.5 ก.ก./วัน
การเลี้ยงดูสุกรพันธุ์ต้องระวังอย่าให้อ้วนเกินไป เมื่อน้ำหนักได้ประมาณ 30-40 ก.ก.
จะต้องเริ่มจำกัดและควบคุมอาหาร คือต้องเลี้ยงให้มีสุขภาพสมบูรณ์
แต่ต้องไม่อ้วนหรือผอมเกินไป
3 เมื่อสุกรสาวมีขนาดน้ำหนักประมาณ
80-90 กิโลกรัม(อายุ
8-9 เดือน)
ควรจะเริ่มทำการผสมพันธุ์ ก่อนการผสมพันธุ์ 1
อาทิตย์
ควรให้อาหารเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพื่อเร่งการเป็นสัดและช่วยให้ลูกดก
พ่อพันธุ์ที่ใช้จะต้องมีอายุพอๆ กัน หรือมากกว่า
ถ้าจะใช้พ่อพันธุ์เดียวกันกับแม่จะต้องดูว่าพ่อตัวนั้นมาจากคนละฝูงหรือคนละสายเลือด
(ไม่ควรให้พี่ ๆ น้องๆ ผสมกัน)หมูที่เป็นสดและต้องการผสมพันธุ์จะมีอวัยวะบวมแดง
และอาจจะมีน้ำเมือก ไหลออกมาจากช่องคลอดด้วย
นอกจากนั้นแม่หมูจะร้องกระสับกระส่ายชอบ ปีนป่าย และพยายามจะกระโดดคอกไปหาตัวผู้
ระยะที่ควรผสมก็คือเมื่ออา การบวมของแคม (Vulva)
ลคลงเล็กน้อย
หรือเมื่อใช้มือกดที่หลังแม่หมู ถ้าแม่หมูยืนนิ่ง ตาเหม่อลอย หูตั้งชัน
ปากเคี้ยวจับ ๆ และครางเบา ๆ ตอนนั้นแหละเป็นช่วงที่ควรทำผสมพันธุ์ การผสมพันธุ์
ควรผสม 2 ครั้งเช่น
ตอนเช้าตรู่ 1 ครั้งและตอนเย็นอีก
1 ครั้งหรือผสมในตอนเย็น
ๆ 1 ครั้ง
และตอนเช้าของวันถัดไปอีก 1
ครั้งจะได้ลูกดกมากขึ้น
แต่ไม่ควรให้พ่อหมูหนุ่มผสมพันธุ์เกิน 2
ครั้งต่อวัน หรือเกิน 8 ครั้งต่อสัปดาห์
แม่หมูที่ผสมติดแล้วจะตั้งท้องนาน 114
วัน (3 เดือน 3 อาทิตย์
3 วัน)
จึงจะคลอด ถ้าแม่หมูตัวใดผสมไม่ติดก็จะกลับเป็นสัดอีกภายใน 21 วัน
4 สุกรสาวที่ตั้งท้องหรือแม่สุกรที่ท้อง
จะยังไม่ต้องการอาหารมากขึ้นในระยะแรก ๆ ต้องเลี้ยงไม่ให้อ้วนหรือผอมเกินไป
โดยปกติในขณะตั้งท้องอ่อนๆ จนถึง 90
วัน ควรให้อาหารแก่แม่สุกรวันละ 2-2.5 ก.ก.
และควรให้หญ้าสดบ้างเพื่อป้องกันมิให้ท้องผูก หลังจากท้องได้ 90 วัน
ต้องเพิ่มอาหาร ให้มากขึ้นเป็น 3-3.5
ก.ก. เพราะลูกในท้องกำลังเติบโต
5 ก่อนคลอด
3-4 วัน
ควรใช้ยาฆ่าเชื้อ เช็ดหรืออาบให้ทั่วแม่สุกร ทำ ความสะอาดคอก
และเตรียมอุปกรณ์ทำคลอด ในระยะนี้ต้องลดอาหารของแม่ลง
เพื่อให้คลอดง่ายและควรให้กินน้ำอย่างเพียงพอ อีก 1 วันก่อนคลอดควรหาฟางแห้ง
ๆ มาใส่ไว้ในคอกบาง อาการของแม่หมูใกล้คลอด เป็นดังนี้คือ
5.1
อวัยวะเพศบวมแดงและขยายใหญ่
ต่อมาจะค่อย ๆ เหี่ยวลง
5.2
ท้องมีขนาดใหญ่โตมาก เดินอุ้ยอ้าย
แม่หมูชอบนอน หรือลุกมา หาฟางและหญ้าทำรัง
5.3
ตัวร้อนและหายใจเร็ว
5.4
เมื่อใกล้คลอดเต็มที่
แม่หมูจะนอนลงและหายใจเร็ว
5.5
ลองบีบหัวนมดูถ้ามีน้ำนมไหลออกมาแสดงว่าจะคลอดภายใน
5-8ช.ม.
5.6
ในวันคลอดนี้ไม่ต้องให้อาหาร
ให้แต่น้ำอย่างเดียว
6 ก่อนที่แม่หมูจะคลอด
ควรเตรียมลังไม้ (ขนาดลังใส่ปลา) ไว้ 1
ลัง ข้างในด้านพื้นบุด้วยกระสอบป่าน
และมีหลอดไฟขนาด 60
แรงเทียน 1 ดวง
(ถ้าไม่มีไฟฟ้าอาจจะใช้ตะเกียงรั้วแทน) สำหรับกกลูกสุกร ด้านบนใช้ฝา
หรือกระสอบป่านปิดด้วย
‘
เมื่อลูกหมูคลอดออกมาแล้ว
ต้องช่วยทำความสะอาดตัวลูกหมู โดยการใช้ผ้าเช็ดตัวให้แห้ง รีบเช็ดปาก จมูก
และเยื่อเมือกต่าง ๆ ช่วยให้ลูกหมูได้หายใจโดยเร็ว แล้วรีบมัดสายสะดือห่างจากตัว 1 นิ้ว
ตัดด้วยกรรไกร แล้วทาแผลด้วยยาทิงเจอร์ นำลูกหมูไปไว้ในลังไม้ เปิดไฟกกให้อบอุ่น
สัก
2-3
วัน ถ้าแม่หมูคลอดอย่างปกติ ลูกตัวที่ 2 ควรจะออกมาใน
5-10 นาที
ต่อมา บางคนอาจใช้ฮอร์โมนอ๊อกซีโตซิน
ฉีดเข้ากล้ามแม่หมู 2
ซี.ซี. เพื่อเร่งให้คลอดเร็ว
และช่วยในการขับน้ำนม
เมื่อทำคลอดลูกหมูเสร็จหมดทุกตัวแล้วก็เริ่มตัดเขี้ยว
ซึ่งมี 8 เขี้ยว
(4 คู่)
ตัดเขี้ยวเสร็จก็นำลูกหมูไปดูดนมแม่ ในวินาทีแรกลูกหมูจะยังดูดนมไม่เป็น
เราต้องช่วยจับและเอาปากไปคาบหัวนม ในไม่ช้าลูกหมูก็จะดูดนมเป็น
ถ้าจะทำเบอร์หรือตัดใบหูเป็นเครื่องหมาย
ก็ควรรีบทำในเวลาต่อมา และถ้าจะชั่งนํ้าหนักแรกคลอดก็ควรทำทันทีหลังคลอด
สิ่งสำคัญที่ต้องทำอีกอย่าง คือ การฉีดธาตุเหล็กให้ลูกสุกร ควรฉีดธาตุเหล็กในระยะ 1-3 วันหลังคลอด
และฉีดเข้ากล้าม 1-2
ซี.ซี.ต่อตัว
(แล้วแต่คำแนะนำของบริษัท)
หลังจากคลอดแล้ว
ต้องคอยดูว่ารกออกหมดแล้วยัง ปกติจะมี 2
รกใหญ่ๆ นำรกไปฝังหรือเผาเสีย
และควรฉีดยาปฏิชีวนะให้เเม่สุกร 1
เข็ม หรือใช้ยายัดช่องคลอด
(เช่นยายูโทซีล) ใส่ในช่องคลอดตัวละ 1-2
เม็ด เพื่อช่วยป้องกันโรคมดลูกและเต้านมอักเสบและช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็ว
7 ในวันที่หนึ่งหลังคลอด
อาจให้อาหารแก่แม่หมุเล็กน้อย 1-1.5
ก.ก. อย่าให้มากเพราะหมูจะผลิตน้ำนมมาก
อาจทำให้ลูกหมูขี้ไหลได้ ตรวจดูเต้านม ว่ามีอาการอักเสบหรือไม่
ถ้าเป็นโรคเต้านมอักเสบ หรือไม่มีน้ำนม ต้องรีบให้ยาและใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบ
อาหารที่ให้ต้องค่อย ๆ เพิ่มขึ้นวันละนิด ประมาณ 7-10 วัน
จึงให้เต็มที่ คือ 3.5-5
ก.ก. และค่อย ๆ
เพิ่มขึ้นเมื่อลูกสุกรดตขึ้นเป็นวันละ 5-6
ก.ก.
ถ้าลูกหมูไม่มีน้ำนมกิน
อาจต้องนำไปฝากแม่ตัวอื่นๆ ที่คลอดใกล้เคียง กัน ลูกหมูอ่อนในระยะนี้อาจเป็นโรคขี้ไหลได้ง่าย
ถ้ามีลมโกรกพื้นคอกชื้น แฉะ ดังนั้นต้องคอยดูอย่าให้ลมโกรก
และต้องทำให้พื้นคอกแห้ง ถ้าลูกหมู เป็นโรคขี้ไหลก็ควรใช้ยาป้ายลิ้น เช่น
ฟาร์โมซิน หรือเมคาด๊อกช์เป็นต้น
ในระยะที่ลูกหมูยังเล็กมาก
เราต้องคอยจับใส่ลังไม้ หลังจากมันกินนมอิ่มแล้ว วิธีที่จะช่วยป้องกันมิให้เเม่หมูทับลูก
พอลูกหมูโตขึ้นๆ ก็ค่อย ๆ ปล่อยให้อยู่กับแม่นานขึ้น ๆ
ในที่สุดก็ปล่อยให้อยู่กับแม่ตลอด เมื่อลูกหมูอายุได้ 7-10 วัน
ก็อาจเริ่มหัดให้กินอาหารหมูนมซึ่งมีโปรตีน 22%
วิธีนuhจะช่วยให้เราหย่านมได้เร็วขึ้น
คือควรหย่านมเมื่ออายุ 30-45
วัน
เมื่อลูกสุกรอายุได้ 20 วัน
ลูกตัวผู้ตัวใดที่จะไม่ใช้ทำพันธุ์ควรตอนให้หมด การตอนในระยะนี้ทำได้ง่าย
และไม่ต้องเย็บแผลเพียงแค่ใช้ยาทิงเจอร์ใส่แผล
และโรยด้วยยาเนกาซันท์เพื่อรักษาแผลและไล่แมลงวัน แผลก็จะหายใน 1 อาทิตย์
สำหรับแม่หมูก่อนหย่านมอาจจะผอมมากเพราะลูกดูดนมมากขึ้น
ดังนั้นจึงควรเพิ่มอาหารให้มากขึ้นด้วย เมื่อหย่านมแล้วแม่สุกร จะเป็นสัดใน 1 อาทิตย์
ถ้าแม่สุกรสมบูรณ์ดีก็ผสมได้เลย ถ้ายังไม่สมบูรณ์
ก็ควรเลี้ยงให้แม่หมูสมบูรณ์เสียก่อน และเลื่อนไปผสมคราวหน้า
ลักษณะของโรงเรือน
สถานที่ก่อสร้างโรงเรือนสุกร
ควรเป็นที่ตอนน้ำไม่ท่วม มีที่ระบายน้ำได้ดี ห่างไกลจากชุมนุมชน ตลาด
และผู้เลี้ยงสุกรรายอื่น
2. สร้างโรงเรือนสุกรตามแนวตะวันออก-ตะวันตก และระยะห่างของแต่ละโรงเรือน ประมาณ 20-25 เมตร เพื่อแยกโรงเรือนออกจากกันเป็นสัดส่วน
3. ลักษณะของหลังคาโรงเรือนสุกรม 5 แบบ ด้วยกัน ดูตามรูป ด้านบน
2. สร้างโรงเรือนสุกรตามแนวตะวันออก-ตะวันตก และระยะห่างของแต่ละโรงเรือน ประมาณ 20-25 เมตร เพื่อแยกโรงเรือนออกจากกันเป็นสัดส่วน
3. ลักษณะของหลังคาโรงเรือนสุกรม 5 แบบ ด้วยกัน ดูตามรูป ด้านบน
แบบเพิงหมาแหงน
โรงเรือนแบบนี้สร้างง่าย
ราคาก่อสร้างถูก แต่มีข้อเสีย คือ แสงแดดจะส่องมากเกินไปในฤดูร้อน
ทำใหอุณหภูมิภายในโรงเรือนสูง ในฤดูฝนน้ำฝนจะสาดเข้าไปในโรงเรือนได้ง่าย
ทำให้ภายในโรงเรือนชื้นแฉะ ข้อเสียอีกอย่างหนึ่ง หากมุงหลังคาด้วยหญ้าคา แฝก
และจาก จะต้องให้มี ความลาดเอียงของหลังคาในระดับลาดชันสูง
เพื่อให้น้ำฝนไหลลงจากหัวคอกไปท้ายคอกได้สะดวก
มิฉะนั้นจะทำให้ฝนรั่วลงในตัวโรงเรือน
แบบเพิงหมาแหงนกลาย
จะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกว่าแบบเพิงหมาแหงน
แต่มีข้อดีสามารถใช้บังแสงแดด ป้องกันฝนสาดได้ดีขึ้น
แบบหน้าจั่ว
ราคาก่อสร้างจะสูงกว่าสองแบบแรก
แต่ดีกว่ามาก ในแง่การป้องกันแสงแดดและฝนสาด
โรงเรือนแบบนี้ถ้าสร้างสูงจะดีเนื่องจาก อากาศภายในโรงเรือนจะเย็นสบาย
แต่ถ้าสร้างต่ำหรือเตี้ยเกินไปจะทำให้อากาศภายในโดยเฉพาะตอนบ่ายร้อนอบอ้าว
อากาศร้อนจะไม่ช่องระบายออก ด้านบนหลังคา
แบบจั่วสองชั้น
เป็นแบบที่นิยมสร้างกันทั่วไป
มีความปลอดภัยจากแสงแดดและฝนมาก อากาศภายในโรงเรือนมีการระบายถ่ายเทได้ดี
แต่ราคาค่า ก่อสร้างจะสูงกว่าสามแบบแรก แต่ก็นับว่าคุ้มค่า ข้อแนะนำก็คือ
ตรงจั่วบนสุด ควรให้ปีกหลังคาบนยื่นยาวลงมาพอสมควร ทั้งนี้เพื่อป้องกันฝนสาดเข้า
ในช่องจั่ว ในกรณีที่ฝนตกแรง ทำให้คอกภายในชื้นแฉะ โดยเฉพาะลูกสุกรจะเจ็บป่วย
เนื่องจากฝนสาดและทำให้อากาศภายในตรงเรือนมีความชื้นสูง
แบบจั่วสองชั้นกลาย
มีคุณสมบัติคล้าย ๆ
กับแบบจั่วสองชั้น หลังคาโรงเรือนแบบนี้
เพื่อต้องการขยายเนื้อที่ในโรงเรือนให้กว้างใหญ่ขึ้น และจะดี
ในแง่ป้องกันฝนสาดเข้าในช่องจั่วของโรงเรือน
อาหารของหมู
1.อาหารประเภทโปรตีน ได้มาจากพืชและสัตว์
มีรายละเอียด ดังนี้ อาหารโปรตีนที่ได้จากพืช ได้แก่
กากถั่วเหลือง เป็นอาหารโปรตีนจากพืชที่ดีที่สุด ได้มาจากถั่วเหลืองทีสกัดน้ำมันออก มีโปรตีนอยู่ระหว่าง 40-44 % ใช้เป็นอาหารสุกรในรูปของกากถั่วเหลืองอัดน้ำมัน (แผ่นเค็ก) โปรตีนจากกากถั่วเหลืองมีกรดอะมิโนที่จำเป็นสมดุลย์ เหมาะในการใช้เลี้ยงสุกรทุกระยะการเจริญเติบโตในเมล็ดถั่วเหลืองดิบไม่เหมาะแก่การนำมาใช้เลี้ยงไก่ และสุกร ทั้งนี้เพราะเมล็ดถั่วเหลืองดิบมีสารพิษชนิดที่เรียกว่า " ตัวยับยั้งทริปซิน" (Trypsin inhibitor) อยู่ด้วย สารพิษนี้จะมีผลไปขัดขวางการย่อยโปรตีนในทางเดินอาหารถั่วเหลืองที่เหมาะสำหรับใช้ผสมอาหารเลี้ยงสุกรนม อาหารครีพฟีด อาหารสุกรอ่อน อาหารสุกรเล็ก ได้แก่ ถั่วเหลืองอบไขมันสูง (ถั่วเหลืองซึ่งผ่านขบวนการอบให้สุก โดยไม่ได้สกัดน้ำมันออกมี โปรตีน 38 % ) ส่วนสุกรเล็กและสุกรขนาดอื่นทั่วไปนิยมใช้กากถั่วเหลืองสกัดน้ำมันด้วยสารเคมี
กากถั่วลิสง เป็นผลิตผลพลอยได้จากการสกัดน้ำมันออก มีโปรตีนอยู่ประมาณ 40% กากใช้กาถั่วลิสงอย่างเดียวในอาหารจะทำให้สุกรเจริญเติบโตช้า เนื่องจากความไม่สมดุลย์ของกรดอะมิโน ดังนั้น จึงควรใช้กากถั่วลิสง ถ้ามีความชื้นสูงจะเสียเร็วเนื่องจากถั่วลิสงเป็นพืชที่มีน้ำมันมาก จึงเก็บไว้นานไม่ได้ จะเกิดอาการเหม็นหืนและมีราเกิดได้ง่าย ซึ่งราจะสร้างสารพิษ "อะฟลาท็อกซิน" ซึ่งเป็นอันตรายต่อสัตว์ ดังนั้นควรจะเลือกใช้แต่กากถั่วลิสงที่ใหม่ มีไขมันต่ำ และควรเก็บไว้ในที่ไม่ร้อนและชื้น
กากเมล็ดฝ้าย เป็นผลผลิตพลอยได้จากการสกัดน้ำมันออกจากเมล็ดฝ้าย จะมีโปรตีนประมาณ 40-45 เปอร์เซ็นต์ การเมล็ดฝ้ายมีสารพิษที่มีชื่อว่า "ก๊อสซิปอล" ซึ่งเป็นสารที่ละลายในน้ำมัน จึงเป็นเหตุให้การใช้อยู่ในขีดจำกัดไม่ควรเกิน 10 % การใช้ในระดับสูงจะทำให้การเจริญเติบโตช้าลง นอกจากนี้การใช้กากเมล็ดฝ้ายควรจะเติมกรดอะมิโนไลซีนสังเคราะห์ลงไปด้วย
กากมะพร้าว เป็นวัตถุพลอยได้จากโรงงานสกัดน้ำมันมะพร้าว ถ้าอัดน้ำมันออกใหม่ ๆ จะมีกลิ่นหอมน่ากิน มีโปรตีนประมาณ 20% ถ้าใช้กากมะพร้าวในระดับสูงเลี้ยงสุกรระยะการเจริญเติบโตและขุน จะทำให้การเจริญเติบโตของสุกรช้า ดังนั้นควรจะใช้ในระดับ 10-15 %
กากเมล็ดนุ่น เมื่อสกัดน้ำมันออกแล้วจะมีโปรตีนประมาณ 20% เหมาะที่จะใช้เลี้ยงสุกรรุ่นมากกว่าสุกรระยะอื่น ในปริมาณไม่เกิน 15% กากเมล็ดนุ่นจะทำให้ไขมันจับแข็งตามอวัยวะภายในร่างกายต่าง ๆ เช่น ลำไส้ เป็นต้น
1.2 อาหารโปรตีนที่ได้จากสัตว์ ได้แก่
ปลาป่น เป็นอาหารโปรตีนที่ได้จากสัตว์ที่ดีที่สุด มีโปรตีนอยู่ระหว่าง 50-60 % คุณภาพของปลาป่นขึ้นอยู่กับชนิดของปลาที่ใช้ทำปลาป่น และสิ่งอื่นปะปนมากน้อยแค่ไหน รวมทั้งกรรมวิธีการผลิตปลาป่น เช่น ถ้าให้ความร้อนสูง ทำให้คุณค่าทางอาหารต่ำลง ปริมาณกรดอะมิโนในปลาป่นจะต่ำลงเรื่อย ๆ ปลาป่นมีคุณค่าทางอาหารสุงและใช้เลี้ยงสุกรตลอดระยะถึงส่งตลอดระยะถึงส่งตลาดจะทำให้เนื้อมีกลิ่นคาวจัด ดังนั้นจึงควรใช้ในระหว่าง 3-15 %
เลือดแห้ง ได้จากโรงฆ่าสัตว์ มีโปรตีนค่อนข้างสูง 80% เป็นโปรตีนที่ย่อยยาก ทำให้การเจริญเติบโตของสุกรต่ำลง ควรใช้ร่วมกับอาหารโปรตีนชนิดอื่น ๆ ไม่ควรเกิน 5%
หางนมผง มีโปรตีนปริมาณ 30-40 % และเป็นโปรตีนที่ย่อยง่ายแต่มีราคาแพง จึงนิยมใช้กับอาหารลูกสุกรเท่านั้น
ขนไก่ป่น เป็นอาหารที่ได้จากผลิตผลพลอยได้จากโรงงานฆ่าไก่ มีโปรตีนค่อนข้างสูงถึง 85% แต่มีคุณค่าทางอาหารเพียงเล็กน้อย เนื่องจากเป็นโปรตีนที่ไม่สามารถย่อยได้
กากถั่วเหลือง เป็นอาหารโปรตีนจากพืชที่ดีที่สุด ได้มาจากถั่วเหลืองทีสกัดน้ำมันออก มีโปรตีนอยู่ระหว่าง 40-44 % ใช้เป็นอาหารสุกรในรูปของกากถั่วเหลืองอัดน้ำมัน (แผ่นเค็ก) โปรตีนจากกากถั่วเหลืองมีกรดอะมิโนที่จำเป็นสมดุลย์ เหมาะในการใช้เลี้ยงสุกรทุกระยะการเจริญเติบโตในเมล็ดถั่วเหลืองดิบไม่เหมาะแก่การนำมาใช้เลี้ยงไก่ และสุกร ทั้งนี้เพราะเมล็ดถั่วเหลืองดิบมีสารพิษชนิดที่เรียกว่า " ตัวยับยั้งทริปซิน" (Trypsin inhibitor) อยู่ด้วย สารพิษนี้จะมีผลไปขัดขวางการย่อยโปรตีนในทางเดินอาหารถั่วเหลืองที่เหมาะสำหรับใช้ผสมอาหารเลี้ยงสุกรนม อาหารครีพฟีด อาหารสุกรอ่อน อาหารสุกรเล็ก ได้แก่ ถั่วเหลืองอบไขมันสูง (ถั่วเหลืองซึ่งผ่านขบวนการอบให้สุก โดยไม่ได้สกัดน้ำมันออกมี โปรตีน 38 % ) ส่วนสุกรเล็กและสุกรขนาดอื่นทั่วไปนิยมใช้กากถั่วเหลืองสกัดน้ำมันด้วยสารเคมี
กากถั่วลิสง เป็นผลิตผลพลอยได้จากการสกัดน้ำมันออก มีโปรตีนอยู่ประมาณ 40% กากใช้กาถั่วลิสงอย่างเดียวในอาหารจะทำให้สุกรเจริญเติบโตช้า เนื่องจากความไม่สมดุลย์ของกรดอะมิโน ดังนั้น จึงควรใช้กากถั่วลิสง ถ้ามีความชื้นสูงจะเสียเร็วเนื่องจากถั่วลิสงเป็นพืชที่มีน้ำมันมาก จึงเก็บไว้นานไม่ได้ จะเกิดอาการเหม็นหืนและมีราเกิดได้ง่าย ซึ่งราจะสร้างสารพิษ "อะฟลาท็อกซิน" ซึ่งเป็นอันตรายต่อสัตว์ ดังนั้นควรจะเลือกใช้แต่กากถั่วลิสงที่ใหม่ มีไขมันต่ำ และควรเก็บไว้ในที่ไม่ร้อนและชื้น
กากเมล็ดฝ้าย เป็นผลผลิตพลอยได้จากการสกัดน้ำมันออกจากเมล็ดฝ้าย จะมีโปรตีนประมาณ 40-45 เปอร์เซ็นต์ การเมล็ดฝ้ายมีสารพิษที่มีชื่อว่า "ก๊อสซิปอล" ซึ่งเป็นสารที่ละลายในน้ำมัน จึงเป็นเหตุให้การใช้อยู่ในขีดจำกัดไม่ควรเกิน 10 % การใช้ในระดับสูงจะทำให้การเจริญเติบโตช้าลง นอกจากนี้การใช้กากเมล็ดฝ้ายควรจะเติมกรดอะมิโนไลซีนสังเคราะห์ลงไปด้วย
กากมะพร้าว เป็นวัตถุพลอยได้จากโรงงานสกัดน้ำมันมะพร้าว ถ้าอัดน้ำมันออกใหม่ ๆ จะมีกลิ่นหอมน่ากิน มีโปรตีนประมาณ 20% ถ้าใช้กากมะพร้าวในระดับสูงเลี้ยงสุกรระยะการเจริญเติบโตและขุน จะทำให้การเจริญเติบโตของสุกรช้า ดังนั้นควรจะใช้ในระดับ 10-15 %
กากเมล็ดนุ่น เมื่อสกัดน้ำมันออกแล้วจะมีโปรตีนประมาณ 20% เหมาะที่จะใช้เลี้ยงสุกรรุ่นมากกว่าสุกรระยะอื่น ในปริมาณไม่เกิน 15% กากเมล็ดนุ่นจะทำให้ไขมันจับแข็งตามอวัยวะภายในร่างกายต่าง ๆ เช่น ลำไส้ เป็นต้น
1.2 อาหารโปรตีนที่ได้จากสัตว์ ได้แก่
ปลาป่น เป็นอาหารโปรตีนที่ได้จากสัตว์ที่ดีที่สุด มีโปรตีนอยู่ระหว่าง 50-60 % คุณภาพของปลาป่นขึ้นอยู่กับชนิดของปลาที่ใช้ทำปลาป่น และสิ่งอื่นปะปนมากน้อยแค่ไหน รวมทั้งกรรมวิธีการผลิตปลาป่น เช่น ถ้าให้ความร้อนสูง ทำให้คุณค่าทางอาหารต่ำลง ปริมาณกรดอะมิโนในปลาป่นจะต่ำลงเรื่อย ๆ ปลาป่นมีคุณค่าทางอาหารสุงและใช้เลี้ยงสุกรตลอดระยะถึงส่งตลอดระยะถึงส่งตลาดจะทำให้เนื้อมีกลิ่นคาวจัด ดังนั้นจึงควรใช้ในระหว่าง 3-15 %
เลือดแห้ง ได้จากโรงฆ่าสัตว์ มีโปรตีนค่อนข้างสูง 80% เป็นโปรตีนที่ย่อยยาก ทำให้การเจริญเติบโตของสุกรต่ำลง ควรใช้ร่วมกับอาหารโปรตีนชนิดอื่น ๆ ไม่ควรเกิน 5%
หางนมผง มีโปรตีนปริมาณ 30-40 % และเป็นโปรตีนที่ย่อยง่ายแต่มีราคาแพง จึงนิยมใช้กับอาหารลูกสุกรเท่านั้น
ขนไก่ป่น เป็นอาหารที่ได้จากผลิตผลพลอยได้จากโรงงานฆ่าไก่ มีโปรตีนค่อนข้างสูงถึง 85% แต่มีคุณค่าทางอาหารเพียงเล็กน้อย เนื่องจากเป็นโปรตีนที่ไม่สามารถย่อยได้
2.
อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรท(แป้งและน้ำตาลให้พลังงาน)
ปลายข้าว ปลายข้าวและรำละเอียดเป็นผลิตผลพลอยได้จากการสีข้าว ปลายข้าวมีโปรตีน 8% เป็นวัตถุดิบอาหารที่เหมาะในการเลี้ยงสัตว์ ทั้งนี้ปลายข้าวประกอบไปด้วยแป้งที่ย่อยง่ายเป็นส่วนใหญ่ มีไขมันและเยื่อใยระดับด่ำ (1.0 %) เก็บไว้ได้นาน ตรวจสอบการปลอมปนได้ง่าย ปลายข้าวที่ใช้เลี้ยงสุกร ควรเป็นปลายข้าวเม็ดเล็กปลายข้าวที่มีขนาดใหญ่ควรจะต้องบดให้มีขนาดเล็กลงก่อน แล้วจึงค่อยผสมอาหาร นอกจากนี้ยังมีปลายข้าวนึ่ง (ข้าวเปลือกที่เปียกน้ำ หรือมีความชื้นสูง นำมาอบเอาความชื้นออก สีเอาเปลือกออก ปลายข้าวนึ่งมีสีเหลืองอ่อนหรือสีขาวปนเหลือง) นำมาเลี้ยงสุกรทดแทนปลายข้าวได้ แต่ต้องพิจารณาเรื่องคุณภาพด้วย เช่น การปนของเมล็ดข้าวสีดำ ซึ่งเมล็ดข้าวสีดำมีคุณภาพไม่ดี
รำละเอียด มีโปรตีนประมาณ 12% รำละเอียดมีไขมันเป็นส่วนประกอบอยู่ในระดับค่อนข้างสูง และเป็นไขมันที่หืนได้ง่ายในสภาวะที่อากาศร้อน หากเก็บไว้เกิน 60 วัน ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้เลี้ยงสัตว์ รำละเอียดมักจะมีการปลอมปนด้วยแกลบป่น ละอองข้าวหรือดินขาวป่น ทำให้คุณค่าทางอาหารต่ำลง ถ้าเป็นรำข้าวนาปรังควรระวังเรื่องยาฆ่าแมลงที่ปะปนมาในระดับสูง รำสกัดน้ำมันได้จากการนำเอารำละเอียดไปสกัดเอาไขมันออกใช้ทดแทนรำละเอียดได้ดีแต่ต้องระวังเรื่องระดับพลังงาน เพราะรำสกัดน้ำมันมีค่าพลังงานใช้ประโยชน์ได้ต่ำกว่ารำละเอียด รำละเอียดมีเยื่อใยเป็นส่วนประกอบในระดับสูง จึงมีลักษณะฟ่าม ไม่ควรใช้เกิน 30% ในสูตรอาหารรำละเอียดมีคุณสมบัติเป็นยาระบาย โดยเฉพาะสูตรอาหารแม่สุกรอุ้มท้องและเลี้ยงลูก จะช่วยลดปัญหาแม่สุกรท้องผูก
ข้าวโพด มีโปรตีนประมาณ 8% และมีเยื่อใยอยู่ในระดับต่ำ เป็นวัตถุดิบอาหารที่เหมาะในการผสมเป็นอาหารสุกร ข้าวโพดที่ดีควรเป็นข้าวโพดที่บดอย่างละเอียด ไม่มีมอดกิน ไม่มีสิ่งปลอมปน และที่สำคัญที่สุดจะต้องไม่ขึ้นรา (สารพิษอะฟลาท็อกซิน) และไม่มียาฆ่าแมลงปลอมปน ข้าวโพดสามารถใช้ทดแทนปลายข้าวได้ ข้อเสียในการใช้ข้าวโพดคือ มีเชื้อราและยาฆ่าแมลง เนื่องจากการเก็บเกี่ยว และการเก็บรักษาไม่ดีพอ
ข้าวฟ่าง มีโปรตีนประมาณ 11% ข้าวฟ่างโดยทั่วไปจะมีสารแทนนิน ซึ่งมีรสฝาดอยู่ในระดับสูง สารแทนนินมีผลทำให้การย่อยได้ของโปรตีนและพลังงานลดลง ดังนั้นจึงเป็นข้อจำกัดในการใช้ข้าวฟ่าง
มันสำปะหลัง ใช้เลี้ยงสัตว์ในรูปมันสำปะหลังตากแห้งที่เรียกว่า มันเส้น มีโปรตีนประมาณ 2% มีแป้งมาก มีเยื่อใยประมาณ 4% ข้อเสียของการใช้มันเส้น คือ จะมีลำต้น เหง้า และดินทรายปนมาด้วย ดังนั้นจึงควรเลือกใช้มันเส้นที่มีคุณภาพดี เกรดใช้เลี้ยงสุกร ส่วนหัวมันสำปะหลังสดไม่ควรนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ เพราะมีการพิษกรดไฮโดรไซยานิคในระดับสูงมาก และเป็นอันตรายต่อสัตว์ได้ วิธีการลดสารพิษทำได้ 2 วิธี คือ
ปลายข้าว ปลายข้าวและรำละเอียดเป็นผลิตผลพลอยได้จากการสีข้าว ปลายข้าวมีโปรตีน 8% เป็นวัตถุดิบอาหารที่เหมาะในการเลี้ยงสัตว์ ทั้งนี้ปลายข้าวประกอบไปด้วยแป้งที่ย่อยง่ายเป็นส่วนใหญ่ มีไขมันและเยื่อใยระดับด่ำ (1.0 %) เก็บไว้ได้นาน ตรวจสอบการปลอมปนได้ง่าย ปลายข้าวที่ใช้เลี้ยงสุกร ควรเป็นปลายข้าวเม็ดเล็กปลายข้าวที่มีขนาดใหญ่ควรจะต้องบดให้มีขนาดเล็กลงก่อน แล้วจึงค่อยผสมอาหาร นอกจากนี้ยังมีปลายข้าวนึ่ง (ข้าวเปลือกที่เปียกน้ำ หรือมีความชื้นสูง นำมาอบเอาความชื้นออก สีเอาเปลือกออก ปลายข้าวนึ่งมีสีเหลืองอ่อนหรือสีขาวปนเหลือง) นำมาเลี้ยงสุกรทดแทนปลายข้าวได้ แต่ต้องพิจารณาเรื่องคุณภาพด้วย เช่น การปนของเมล็ดข้าวสีดำ ซึ่งเมล็ดข้าวสีดำมีคุณภาพไม่ดี
รำละเอียด มีโปรตีนประมาณ 12% รำละเอียดมีไขมันเป็นส่วนประกอบอยู่ในระดับค่อนข้างสูง และเป็นไขมันที่หืนได้ง่ายในสภาวะที่อากาศร้อน หากเก็บไว้เกิน 60 วัน ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้เลี้ยงสัตว์ รำละเอียดมักจะมีการปลอมปนด้วยแกลบป่น ละอองข้าวหรือดินขาวป่น ทำให้คุณค่าทางอาหารต่ำลง ถ้าเป็นรำข้าวนาปรังควรระวังเรื่องยาฆ่าแมลงที่ปะปนมาในระดับสูง รำสกัดน้ำมันได้จากการนำเอารำละเอียดไปสกัดเอาไขมันออกใช้ทดแทนรำละเอียดได้ดีแต่ต้องระวังเรื่องระดับพลังงาน เพราะรำสกัดน้ำมันมีค่าพลังงานใช้ประโยชน์ได้ต่ำกว่ารำละเอียด รำละเอียดมีเยื่อใยเป็นส่วนประกอบในระดับสูง จึงมีลักษณะฟ่าม ไม่ควรใช้เกิน 30% ในสูตรอาหารรำละเอียดมีคุณสมบัติเป็นยาระบาย โดยเฉพาะสูตรอาหารแม่สุกรอุ้มท้องและเลี้ยงลูก จะช่วยลดปัญหาแม่สุกรท้องผูก
ข้าวโพด มีโปรตีนประมาณ 8% และมีเยื่อใยอยู่ในระดับต่ำ เป็นวัตถุดิบอาหารที่เหมาะในการผสมเป็นอาหารสุกร ข้าวโพดที่ดีควรเป็นข้าวโพดที่บดอย่างละเอียด ไม่มีมอดกิน ไม่มีสิ่งปลอมปน และที่สำคัญที่สุดจะต้องไม่ขึ้นรา (สารพิษอะฟลาท็อกซิน) และไม่มียาฆ่าแมลงปลอมปน ข้าวโพดสามารถใช้ทดแทนปลายข้าวได้ ข้อเสียในการใช้ข้าวโพดคือ มีเชื้อราและยาฆ่าแมลง เนื่องจากการเก็บเกี่ยว และการเก็บรักษาไม่ดีพอ
ข้าวฟ่าง มีโปรตีนประมาณ 11% ข้าวฟ่างโดยทั่วไปจะมีสารแทนนิน ซึ่งมีรสฝาดอยู่ในระดับสูง สารแทนนินมีผลทำให้การย่อยได้ของโปรตีนและพลังงานลดลง ดังนั้นจึงเป็นข้อจำกัดในการใช้ข้าวฟ่าง
มันสำปะหลัง ใช้เลี้ยงสัตว์ในรูปมันสำปะหลังตากแห้งที่เรียกว่า มันเส้น มีโปรตีนประมาณ 2% มีแป้งมาก มีเยื่อใยประมาณ 4% ข้อเสียของการใช้มันเส้น คือ จะมีลำต้น เหง้า และดินทรายปนมาด้วย ดังนั้นจึงควรเลือกใช้มันเส้นที่มีคุณภาพดี เกรดใช้เลี้ยงสุกร ส่วนหัวมันสำปะหลังสดไม่ควรนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ เพราะมีการพิษกรดไฮโดรไซยานิคในระดับสูงมาก และเป็นอันตรายต่อสัตว์ได้ วิธีการลดสารพิษทำได้ 2 วิธี คือ
ก. ทำเป็นมันเส้น โดยหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ผึ่งแดดอย่างน้อย 3 แดด มันเส้นที่มีคุณภาพดี สามารถใช้ทดแทนปลายข้าวได้ ในกรณีปลายข้าวราคาแพง และมันเส้นราคาถูก (ปลายข้าว 1 กิโลกรัม เท่ากับมันเส้น 0.85 กิโลกรัม + กากถั่วเหลือง 0.15 กิโลกรัม) ข. ทำเป็นมันหมัก หมักในหลุม หรือถุงพลาสติก ควรหมักอย่างน้อย 1 เดือน ซึ่งจะลดปริมาณสารพิษกรดไฮโดรไซยานิคให้อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุกร |
3. อาหารประเภทไขมัน
ไขมันจากสัตว์ ได้แก่ ไขมันวัว ไขมันสุกร ส่วนไขมันจากพืช ได้แก่ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม น้ำมันรำ เป็นต้น สาเหตุที่ต้องใช้ไขมันในสูตรอาหาร เพื่อเพิ่มระดับพลังงานในสูตรอาหารนั้นให้สูงขึ้น ส่วนใหญ่ใช้ในอาหารสุกรเล็ก โดยเติม 2-5 % ในอาหาร ข้อเสียของไขมันมักจะมีกลิ่นหืน และเก็บไว้ได้ไม่นาน
4. อาหารประเภทแร่ธาตุ และไวตามิน
กระดูกป่น เป็นแหล่งของธาตุแคลเซี่ยมและฟอสฟอรัสที่ดีมาก แต่มีคุณภาพไม่แน่นอน
ไดแคลเซียมฟอสเฟส ให้ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสทำมาจากกระดูก หรือทำจากหิน โดยนำเอาหินฟอสเฟตมาเผา ปกติจะใช้ไดแคลเซียมฟอสเฟตที่มีฟอสฟอรัส 18% (P18) หรือสูงกว่า
เปลือกหอยบด ให้ธาตุแคลเซียมอย่างเดียว
หัวไวตามินแร่ธาตุ หรือพรีมิกซ์ เป็นส่วนผสมของไวตามินและแร่ธาตุปลีกย่อยทุกชนิดที่สุกรต้องการ และพร้อมที่จะนำมาผสมกับวัตถุดิบ อาหารสัตว์อย่างอื่นได้ทันที พรีมิกซ์มีขายตามท้องตลาดทั่วไป
วิธีดูแลโรคติดต่อ
เชื้อไวรัส
ส่วนมากไม่มียารักษาและมักเป็นปัญหาของโรคระบาดในสุกร ชื้อได้แก่
โรคอหิวาต์สุกร โรคปากเท้าเปื่อย โรคพิษสุนัขบ้าเทียม และโรคลำไส้อักเสบติดต่อ
เป็นต้น
เชื้อแบคทีเรีย
ส่วนมากใช้ยารักษาได้และมักพบเป็นปัญหาของโรคที่พบในการเลี้ยงสุกร เช่น
โรคข้อบวมในลูกสุกร โรคเต้านมอักเสบ โรคบาดทะยัก
โรคติดเชื้อทางระบบหายใจและโรคท้องเสีย เป็นต้น
เชื้อมายโคพลาสม่า
ยาสามารถรักษาได้และมักพบเป็นปัญหาของโรคทางระบบหายใจ (โรคปอดบวม)
เชื้อโปรโตซัว
ยาสามารถรักษาได้และมักพบเป็นปัญหาของโรคทางเดินอาหาร (ท้องเสีย)
เชื้อรา
จะสร้างสารพิษที่เป็นอันตรายต่อตัวสุกร
ซึ่งสารพิษนี้ไม่มียารักาได
ช่องทางการจัดจำหน่าย
การจัดจำหน่าย (Distribution) หมายถึง
โครงสร้างของช่องทางที่ใช้เพื่อเคลื่อนย้ายสินค้าจากธุรกิจไปยังตลาด
ตัวกลางทางการตลาดเป็นธุรกิจที่ช่วยเสริมช่วยขายและจำหน่ายสินค้าไปยังผู้ซื้อขั้นสุดท้าย
ประกอบด้วย
1. คนกลาง (Middleman)
- พ่อค้าคนกลาง (Merchant Middlemen)
- ตัวแทนคนกลาง (Agent Middlemen)
2. ธุรกิจที่ทำหน้าที่กระจายสินค้า
3. ธุรกิจที่ให้บริการทางการตลาด
4. สถาบันการเงิน
1. คนกลาง (Middleman)
- พ่อค้าคนกลาง (Merchant Middlemen)
- ตัวแทนคนกลาง (Agent Middlemen)
2. ธุรกิจที่ทำหน้าที่กระจายสินค้า
3. ธุรกิจที่ให้บริการทางการตลาด
4. สถาบันการเงิน
เนื้อหาดี
ตอบลบเนือหาดีค่ะ
ตอบลบ