สายพันธุ์นกระทา
สายพันธุ์ของนกกระทา
โดยมากการเลี้ยงนกกระทาเลี้ยงไว้เพื่อเป็นสัตว์ทดลองหรือเพื่อบริโภค
พันธุ์นกกระทาที่สำคัญและที่รู้จักกันมากได้แก่
- นกกระทาเวอร์จิเนีย
- นกกระทาเวอร์จิเนีย
- นกกระทาแคลิฟอร์เสีย
- นกกระทายุโรป
-นกกระทาญี่ปุ่น
วิธีการเลี้ยงนกกระทา
การคัดเลือกพ่อ
–
แม่พันธุ์ สำหรับแม่พันธุ์ ควรเลือกที่ให้ไข่ดก
โดยดูได้จากการนำพ่อ-แม่พันธุ์ มาเลี้ยงรวมในกรงเดียวกัน ขนาด 40×40 เซนติเมตร สัดส่วนแม่พันธุ์ 5 ตัว พ่อพันธุ์ 2
ตัว ซึ่งแม่พันธุ์ที่ดีจะต้องให้ไข่ทุกวัน
การฟักไข่
นำไข่ที่ได้ไปฟักในตู้ฟักไข่ไฟฟ้า อุณหภูมิ 36 – 37 องศาเซลเซียส
ใช้เวลาประมาณ 14 – 17 วัน จะได้เป็นตัวเล็ก ๆ
ซึ่งต้องนำไปเลี้ยงในกรงอนุบาล
การเลี้ยงในกรงอนุบาล
หลังจากฟักเป็นตัวต้องนำไปเลี้ยงในกรงอนุบาลที่ใช้ตาข่ายทำ มีขนาด 2 x 2 เมตร ต่อการเลี้ยง 300 – 400 ตัว ใช้ไฟขนาด 100
W (วัตต์) กกให้ความร้อนอีกประมาณ 15 -20 วัน
ให้อาหารนกและน้ำเล็กน้อย
นำไปเลี้ยงในกรงนกรุ่นอีก
20
วัน โดยเลี้ยงให้อาหารไก่ที่นำมาบดละเอียด
เพื่อให้แข็งแรงแล้วจึงคัดแยกเพศ หากเป็นเพศเมียก็จะนำไปเลี้ยงเป็นนกไข่
ถ้าเป็นเพศผู้จะขายเลี้ยงเป็นนกเนื้อ
ลักษณะของโรงเรือนนกกระทา
กรงนกกระทามีหลายลักษณะ ซึ่งใช้แตกต่างกันไปตามอายุของนก ดังนี้
กรงนกกระทามีหลายลักษณะ ซึ่งใช้แตกต่างกันไปตามอายุของนก ดังนี้
(1)
กรงกกลูกนก ขนาดของกรงกกมีหลายขนาด เช่น
–
ขนาด 100 ซม. x 200 ซม. x 50 ซม. (รวมขากรง) ซ้อนกัน 4
ชั้น รวมความสูงเท่ากับ 200 ซม. 1 กรง
กั้นแบ่งเป็น
2
ห้อง จุนกได้ห้องละ 700 ตัว
–
ขนาด 150 ซม. x 200 ซม. X 100 ซม. จุนกได้ 770 ตัว พื้นกรงใช้ลวดตาข่ายสี่เหลี่ยมขนาด 1/4 x 1/4 นิ้ว
ด้านข้างเป็นลวดตาข่าย
ขนาด 3/4นิ้ว
อาหารของนกกระทา
อาหารนกกระทา
โดยปกติจะเหมือนกับที่ใช้ในอาหารไก่
แต่ขนาดของเม็ดอาหารจะต้องละเอียดกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2 สัปดาห์แรก หลังจากนั้นก็ให้อาหารเม็ดบี้แตกสำหรับไก่ลูกไก่กระทงได้
นกกระทาต้องการอาหารที่มีโปรตีนและโภชนะชนิดอื่นสูงกว่าไก่กระทง
ทั้งนี้เนื่องจากนกกระทามีอัตราการเจริญเติบโตสูงกว่าไก่กระทง
ค่าความต้องการโภชนะสำหรับนกกระทา
วิธีการดูแลโรคติดต่อของนกกระทา
การป้องกันโรคเป็นวิธีที่ดีกว่าการรักษาวิธีป้องกันโรคต่างๆ
ของนกกระทานี้ก็เหมือนกับของสัตวืปีกอื่นๆ
ซึ่งต้องอาศัยหลักการและวิธีปฎิบัติต่างๆ ทั้งการระวังไม่ใช้เชื้อโรคแพร่เข้ามา
และการรักษาสุขภาพ อนามัยตลอดเวลา
วิธีการเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อการสกัดการแพร่ของเชื้อโรค
ด้วยเหตุนี้การมีฝูงนกที่ไม่มีโรคติดต่อ จึงมีความ สำคัญเป็นอันดับแรก
ไม่ควรลืมว่าทางแพร่ของโรคมีได้หลายางทั้งอาจเห็นได้และที่แอบแฝงมา
ช่องทางการจัดจำหน่วยนกกระทา
ช่วงประมาณ ปี
2536
- 2538 ไข่นกกระทาขายดีมาก ราคาก็ดีด้วยจากราคาขายส่ง ฟองละ 30
สตางค์ เพิ่มขึ้นเป็น 50 สตางค์
ส่วนนกเนื้อตัวละ 7 บาท เพิ่มเป็น 12 - 13 บาท ทำให้มีการเลี้ยงนกกระทากันมากขึ้นรายได้จากการขายไข่นกวันละ 1,000
ฟองจะได้ประมาณ 600 - 700 บาท
โดยต้นทุนที่เราใช้อาหารต่อตัวประมาณ 6 บาท
และใช้เวลาเลี้ยงไม่นานก็สามารถให้ผลผลิตได้แล้ว
นอกจากนี้เมื่อนกหมดอายุให้ไข่ก็สามารถขายเป็นนกเนื้อสร้างรายได้ให้อย่างงดงามการดูแลก็ใช้เวลาเพียงวันละ
4 - 5 ชั่วโมงเท่านั้น โดยทำเป็นช่วง ๆ เช่นให้อาหาร ทำความสะอาด
เก็บไข่และบรรจุถุง การนำไปจำหน่ายที่ตลาด ซึ่งเป็นงานที่ค่อนข้างสบาย
แต่จะลำบากในลักษณะที่ทิ้งงานไปไหนทั้งวันไม่ได้ ต้องหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไป
นอกจากขายไข่นกและเนื้อนกแล้ว ไข่ที่ฟักไม่ออกที่ต้องสูญเสียไป 20% ในการฟักแต่ละครั้ง สามารถใช้เลี้ยงตะพาบน้ำได้และอาหารที่เลี้ยงนกก็สามารถนำมาเลี้ยงเป็ดได้ และรายได้อีกอย่างหนึ่งในการเลี้ยงนกกระทาคือ ขี้นกที่ต้องเก็บกวาดทำความสะอาดรางนกอยู่แล้วเป็นประจำ 3 วันต่อครั้ง โดยต้องทิ้งไว้ให้แห้งก่อนจึงจะใส่ถุงขาย ถุงละ 25 กิโลกรัม ราคา 30 บาท ครั้งหนึ่งอาจเก็บได้ 130 - 150 กิโลกรัม ทำให้มีรายได้เสริมเดือนละ 1,500 - 2,000 บาท โดยมากนิยมนำไปใส่ต้นไม้ในสวน เช่น มังคุด
ที่มา http://knowledge.kasetbay.com/83-
นอกจากขายไข่นกและเนื้อนกแล้ว ไข่ที่ฟักไม่ออกที่ต้องสูญเสียไป 20% ในการฟักแต่ละครั้ง สามารถใช้เลี้ยงตะพาบน้ำได้และอาหารที่เลี้ยงนกก็สามารถนำมาเลี้ยงเป็ดได้ และรายได้อีกอย่างหนึ่งในการเลี้ยงนกกระทาคือ ขี้นกที่ต้องเก็บกวาดทำความสะอาดรางนกอยู่แล้วเป็นประจำ 3 วันต่อครั้ง โดยต้องทิ้งไว้ให้แห้งก่อนจึงจะใส่ถุงขาย ถุงละ 25 กิโลกรัม ราคา 30 บาท ครั้งหนึ่งอาจเก็บได้ 130 - 150 กิโลกรัม ทำให้มีรายได้เสริมเดือนละ 1,500 - 2,000 บาท โดยมากนิยมนำไปใส่ต้นไม้ในสวน เช่น มังคุด
ที่มา http://knowledge.kasetbay.com/83-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น